Search

ดอลลาร์-ทองคำ กับ ข่าวดี-ข่าวร้าย - ผู้จัดการออนไลน์

jogja-tribbun.blogspot.com


เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง ไหลลื่น โล่งท้อง แบบไม่ต้องมีอะไรค้างๆ คาๆ ในลำไส้อีกต่อไป...ปิดฉากสัปดาห์นี้ เลยคงต้องขออนุญาต ไปว่ากันเรื่อง “ทองคำ” กับ “เงินดอลลาร์” กันต่ออีกสักตอน เพราะข่าวคราวการแข่งขัน ไล่บด ไล่บี้ ไล่เตะ ไล่ถีบ ระหว่างมูลค่าราคาของสินทรัพย์ทั้งสองตัวที่ว่านี้ มันออกจะเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น เร้าใจ ยิ่งกว่าการถ่างตา รอคอย “มวยแก่” อย่างอดีตแชมป์โลก “ไมค์ ไทสัน” จู่ๆ คิดจะลุกขึ้นมาฟาดปากกับ “รอย โจนส์ จูเนียร์” ประมาณร้อยห้าสิบล้านเท่าเป็นอย่างน้อย...

เฉพาะแค่ช่วงเดือนที่ผ่านมา...ขณะที่มูลค่าราคาทองคำพุ่งพรวดๆ พราดๆ เด้งดึ๋ง ขึ้นไปประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ เลยถือเป็นตัวส่งผลให้มูลค่าราคาของเงินดอลลาร์ แทบทรุดลงไปนับ 8 หรือถึงกับร่วงผลอยๆ ลงไปถึง 3.7 เปอร์เซ็นต์ แต่นี่ก็ยังไม่ได้ “ครบยก” เพราะแนวโน้มมูลค่าราคาทองคำนับจากนี้ ทำท่าว่าอาจพุ่งแรงแซงโค้ง ยิ่งไปกว่านี้ อีกไม่รู้กี่ต่อกี่เปอร์เซ็นต์ ภายในปีนี้ ปีหน้า หรือปีไหนๆ คือไม่ใช่แค่จะหยุดอยู่ที่ 1,974 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามระดับราคาที่ทำสถิติสูงสุดเมื่อช่วงวันพุธ (29 ก.ค.) ที่ผ่านมาเท่านั้น เพราะถ้าหากว่ากันตาม “ข่าวล่า-มาเรือ” จากรายงานประมาณการในอีก 12 เดือนข้างหน้า ของวาณิชธนกิจระดับโลก อย่าง “Goldman Sachs” คราวล่าสุด ซึ่งปรากฏเป็นข่าวคราวเมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมา โอกาสที่มูลค่าราคาสินทรัพย์อย่างทองคำ จะพุ่งขึ้นไปถึง 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...

ยิ่งถ้าหากลองไปเงี่ยหูฟังข้อวิเคราะห์ การคาดการณ์ ประมาณการจากผู้บริหารบริษัทค้าหุ้นและการลงทุนระดับโลกแห่งออสเตรเลีย อย่าง “นายBarry Dawes” ประธานผู้บริหารบริษัท “Martin Place Securities” ที่ได้ให้ความคิด ความเห็น เอาไว้กับสำนักข่าว “CNBC” เมื่อช่วงวันอังคาร (28 ก.ค.) ที่ผ่านมา อภิมหานักธุรกิจรายนี้...ถึงกับเชื่อว่า โอกาสที่มูลค่าราคาทองคำภายในช่วง 2 ปีนับจากนี้ อาจพุ่งระเบิดเถิดเทิงขึ้นไปถึงระดับ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์เอาเลยก็ไม่แน่!!! หรือสามารถทำให้ใครก็ตามที่ “มีทองเท่าหนวดกุ้ง” หรือกระทั่ง “หนวดแมงสาบ” ก็แล้วแต่ มีสิทธิสะดุ้งชนิดเรือนไหวไป 3 บ้าน 8 บ้านเอาง่ายๆ...

และด้วยการขึ้นแล้ว ขึ้นอีก ของราคาทองคำนี่แหละ...ที่มันตัวก่อให้เกิด “ปฏิสัมพันธ์” อย่างแยกไม่ออก กับมูลค่าราคาค่าเงินดอลลาร์ ที่หนีไม่พ้นต้องนับ 8 นับ 10 หรือกระทั่งนับเท่าไหร่ก็อาจไม่คิดจะลุกขึ้นมาอีก ต้องตกอยู่ในสภาพไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี-หนีไม่พ้น หรือต้องเริ่มต้นเปล่งบทสวด...กุสลาธัมมา-อกุสลาธัมมา อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ คือตกอยู่ในสภาพแค่รอพระท่านชักผ้าบังสุกุลเมื่อไหร่ ก็เตรียม “เผา” ได้เลย!!! เพราะขนาด “Goldman Sachs” เองก็ตาม ยังอดไม่ได้ที่จะต้องสรุปไว้ในรายงานประมาณการว่า “เงินดอลลาร์กำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย โดยการสูญเสียสถานะครอบงำตลาดการเงินโลก ได้เริ่มปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว...” ชนิดไม่ว่ารัฐบาลหรือธนาคารกลางอเมริกา ไม่อาจหยุดยั้งภาวะดังกล่าวได้เลย หรือต้องยอมปล่อยให้เกิดการลอยตัวของภาวะเงินเฟ้อ เพื่อลดขนาดของ “หนี้สะสม” ที่ปาเข้าไปไม่รู้สิบล้านล้านดอลลาร์ ชนิด “เกิดมาเป็นสุธีสาม-สี่ชาติ” ก็ไม่มีวันใช้หมด อีกทั้งปริมาณหนี้สินที่พุ่งขึ้นไปแตะระดับ 80 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ย่อมทำให้จำต้องปล่อยเลยตามเลย โดยมิอาจขัดขืน ถ่วงรั้ง หรือยืดเวลาใดๆ ได้อีก...

ภายใต้ภาวะเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้นักยุทธศาสตร์ด้านเครดิตของ “Deutsche Bank” อย่าง “นายJim Reid” ถึงได้สรุปไว้ในรายการ “Keiser Report” ทางสถานีโทรทัศน์ “รัสเซีย ทูเดย์” เมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมาว่า...ระบบเงินตราที่ไม่มีทองคำสำรอง หรือ “Fiat money” อย่างเงินดอลลาร์สหรัฐนั้น ได้ผ่านพ้น “จุดประวัติศาสตร์แห่งความคลั่งไคล้” ไปเรียบร้อยแล้ว หรือทำให้ตลาดการเงินโลก ระบบการเงินโลก นับจากนี้เป็นต้นไป จะเริ่มหวนกลับเข้ามาหา “มาตรฐาน” ที่มีทองคำเป็นหลักค้ำประกัน ไม่ก็หันไปหามาตรฐานใหม่ๆ อย่างเช่น “Bitcoin” เป็นต้น และการหันกลับมาหาทองคำ หรือ Bitcoin ก็แล้วแต่...ก็ยิ่งจะกลายเป็นการกระหน่ำซ้ำเติม หรือยิ่งกลายเป็นตัดหัว ประหาร เงินดอลลาร์ หรือระบบ “Fiat money” ให้ยิ่งมีแต่ “ตาย...กับ...ตาย” ลูกเดียวเท่านั้นเอง เหลือเพียงแค่รอนิมนต์พระมาเดินนำหน้าขึ้นไปบนเมรุ จากนั้น...ก็กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา ไปตามสภาพ...

และอันนี้นี่แหละ...ที่มันอาจเกี่ยวข้อง พัวพัน อาจโยงใยไปถึงเรื่อง “สงครามเย็น-สงครามร้อน” ที่ต้องนำมาเปิดฉากเอาไว้ตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์นี้ เพราะอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญด้านอเมริกันศึกษา แห่งสถาบัน “Pangoal Institute” อย่าง “นายAn Gang” เขาได้ตั้งข้อสังเกตตั้งสมมติฐาน ไว้ในระหว่างการเสวนาที่สำนักข่าว “ซินหัว” เป็นเจ้าภาพเมื่อช่วงวันเสาร์ที่แล้ว ว่าสิ่งที่อาจกลายเป็น “เงื่อนไข” หรือ “เหตุปัจจัย” อันทำให้ผู้ซึ่งมีอำนาจ บทบาทในประเทศจักรวรรดินิยมอย่างอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่าง “ทรัมป์บ้า” หรือว่าที่ประธานาธิบดีรายต่อไป อย่าง “โจวิตถาร” อาจต้อง “ตัดสินใจ” แปรสภาพ “สงครามเย็น” ให้กลายเป็น “สงครามร้อน” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ สิ่งนั้นก็คือ...การมองเห็น “จุดล่มสลายของเงินดอลลาร์อเมริกัน” นั่นเอง...

ด้วยเหตุนี้...แม้ว่าข่าวคราวความเคลื่อนไหวดังกล่าว อาจถือเป็น “ข่าวดี” สำหรับบรรดาผู้ซึ่งมีทองเท่าหนวดกุ้ง หรือกำทองเอาไว้เป็นแท่งๆ ด้ามๆ ก็ตามแต่ รวมทั้งบรรดาผู้ที่เปรี้ยวมือ เปรี้ยวเท้า กับคุณพ่ออเมริกามานานแล้ว แต่ถ้ามองในอีกแง่หนึ่ง มันอาจหนีไม่พ้นที่ย่อมต้องมี “ข่าวร้าย” ด้านร้าย หรือด้านตรงข้าม ตามมาด้วยอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ว่าจะในแง่ความพังพินาศ ฉิบหาย ของใครก็ตามที่ยังคงหลงใหล คลั่งไคล้ ยังกำเงินดอลลาร์ที่โถมทับ ท่วมโลกทั้งโลก เอาไว้ในมือ จะพังกันไปขนาดไหน ฉิบหายกันไปถึงขั้นไหน ก็แทบหลับตานึกภาพไม่ออก เพราะมันคงพอๆ กับ “อภิมหาฟองสบู่” ของโลกทั้งโลก เกิดการแตกระเบิดกันชนิดต่อหน้า ต่อตา และก็แน่นอนนั่นแหละว่า...ก่อนที่มันจะแตก มันจะระเบิด บรรดาผู้ที่มีอำนาจ บทบาท ในการควบคุม ดูแล ประเทศทั้งประเทศ แถมยังเป็นประเทศที่มีพลังอำนาจทางทหารสูงที่สุดในโลกอีกต่างหาก เขาคงไม่คิดจะ “เอามือซุกหีบ” อยู่แล้วแน่ๆ และโดยประวัติศาสตร์ หรือโดยกระบวนการที่ทำให้ประเทศๆ นี้ กลายมาเป็นมหาอำนาจสูงสุด หรือกลายมาเป็น “จักรวรรดิอเมริกา” ก็ล้วนแต่อาศัย “สงคราม” นั่นแหละ เป็นทางออก ทางรอดมาโดยตลอด...

หรือพูดง่ายๆ ว่า...ไม่ว่าใครก็ตาม ที่ขึ้นมามีบทบาท อำนาจ ในประเทศอเมริกานับจากนี้ ถ้าหากไม่อยากจะเห็นความล่มสลาย การแตกกระจัดกระจาย การแยกรัฐ แยกประเทศแบบจักรวรรดิสังคมนิยมโซเวียต หรือจักรวรรดิต่างๆ ในอดีต อุบัติขึ้นมาต่อหน้า ต่อตาตัวเอง โอกาสที่จะเกิดการหันกลับไปหา “จุดแข็ง” ที่พอช่วยให้เกิดทางออก ทางรอด แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี นั่นก็คือการหันกลับไปใช้ “สงคราม” เป็นเครื่องมือ ก็ยิ่งน่าจะทำให้ “ข่าวดี” กลายสภาพเป็น “ข่าวร้าย” เอาง่ายๆ และอาจร้ายกาจร้ายแรง ถึงขั้น “หลับไม่ลง” กันไปทั่วทั้งโลกเอาเลยก็ไม่แน่!!!




July 30, 2020 at 03:29PM
https://ift.tt/30emKmq

ดอลลาร์-ทองคำ กับ ข่าวดี-ข่าวร้าย - ผู้จัดการออนไลน์

https://ift.tt/2TYnNTT


Bagikan Berita Ini

0 Response to "ดอลลาร์-ทองคำ กับ ข่าวดี-ข่าวร้าย - ผู้จัดการออนไลน์"

Post a Comment

Powered by Blogger.